4 สาเหตุทำให้รถกินน้ำมันผิดปกติ และวิธีแก้ไขด้วยตัวเอง

 4 สาเหตุทำให้รถกินน้ำมันผิดปกติ และวิธีแก้ไขด้วยตัวเอง

สล็อตเว็บตรง ทรูวอเลท GBM168 รวมเกมสล็อตออนไลน์กว่า 2,378 ไว้ในเว็บเดียวทั้งค่าย Pocket Game Soft(PG Slot), Joker Gaming(Joker Slot), Pragmatic Play(PP Slot) และอื่นๆ อีกมากมาย

แม้ว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ารถที่วิ่งกันส่วนใหญ่บนท้องถนนยังคงเป็นรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ กลายเป็นพลังงานให้รถเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ในแต่ละวัน

     แต่เมื่อรถของคุณผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่ง อาจรู้สึกว่าเครื่องยนต์กินน้ำมันเพิ่มมากขึ้น ปัญหาดังกล่าวเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง จะพาไปหาคำตอบกัน

4 สาเหตุที่ทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าปกติ อาจมีที่มาดังนี้

1. น้ำมันเครื่องและไส้กรองเสื่อมคุณภาพ

     หากว่าเจ้าของรถไม่ได้นำรถเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองตามระยะที่กำหนด จะส่งผลให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากความหนืดของน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงน้ำมันเครื่องที่เสื่อมสภาพจะลดทอนประสิทธิภาพในการหล่อลื่นของเครื่องยนต์ จนทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

     ทางที่ดีเจ้าของรถควรเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอ เพราะนอกจากจะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้ยาวนานขึ้นด้วย

car_bad_fuel_consumption_02

2. ไส้กรองอากาศอุดตัน

     ไส้กรองอากาศเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการกรองฝุ่นและสิ่งแปลกปลอมในอากาศก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปยังห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ โดยออกซิเจนในอากาศถือเป็นตัวแปรสำคัญในกระบวนการเผาไหม้ไม่แพ้น้ำมันเชื้อเพลิง หากว่าไส้กรองมีสิ่งสกปรกติดค้างอยู่เป็นจำนวนมาก ก็ส่งผลให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ

     วิธีการตรวจสอบและแก้ไขด้วยตัวเองทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ตรวจเช็กไส้กรองอากาศว่ามีสิ่งสกปรกมากน้อยแค่ไหน และสามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ด้วยการใช้เครื่องเป่าลมแรงสูงเป่าฝุ่นที่จับตัวอยู่ให้เหลือน้อยที่สุด อีกวิธีหนึ่งคือการเปลี่ยนไส้กรองใหม่ ซึ่งปัจจุบันสามารถหาซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ในราคาหลักร้อยบาทเท่านั้น

3. ระบบจุดระเบิดและระบบจ่ายเชื้อเพลิงมีปัญหา

     อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น หัวเทียนเกิดการชำรุดเนื่องจากใช้งานมาอย่างยาวนาน, จังหวะการจุดระเบิดไม่ถูกต้อง, คอยล์จุดระเบิดมีปัญหา ฯลฯ ซึ่งกรณีเหล่านี้มักมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เครื่องยนต์สั่น, เบาดับ, เร่งไม่ออก เป็นต้น

     อีกกรณีที่พบได้บ่อยคือระบบหัวฉีดน้ำมันเกิดการอุดตัน ไม่สามารถฉีดน้ำมันให้เป็นละอองละเอียด หรือมีการรั่วของหัวฉีด จึงไม่สามารถจ่ายน้ำมันได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งนอกจากจะทำให้สมรรถนะของเครื่องยนต์ลดลงแล้ว ยังส่งผลให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นด้วย ทางที่ดีหากพบว่าเครื่องยนต์มีอาการผิดปกติ เช่น เครื่องยนต์สั่น, เร่งไม่ออก, เร่งรอบสูงแล้วดับ, มีไฟรูปเครื่องยนต์โชว์บนหน้าปัด ฯลฯ ควรนำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามบานปลาย

car_bad_fuel_consumption_03

4. พฤติกรรมของผู้ขับขี่และสภาพการจราจรที่เปลี่ยนไป

     พฤติกรรมการขับขี่รถยนต์ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่ออัตราสิ้นเปลืองที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น หากว่าผู้ขับขี่อยู่ในภาวะรีบ มีอารมณ์ร้อน ต้องการไปถึงจุดหมายโดยเร็ว ก็มักจะเร่งออกตัวอย่างรุนแรง ใช้ความเร็วสูงในการเดินทาง ทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย อีกทั้งช่วงเวลาที่ใช้เดินทางก็ยังมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองด้วยเช่นกัน เช่น หากออกจากบ้านไปทำงานในชั่วโมงเร่งด่วน ส่งผลให้ต้องเผชิญกับสภาพการจราจรติดขัดอย่างหนัก ใช้เวลาบนถนนนานหลายชั่วโมง ก็จะทำให้รถสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มมากขึ้น

     วิธีแก้ไขสามารถทำได้ง่ายๆ โดยเผื่อเวลาออกจากบ้านไปยังจุดหมายให้มากกว่าปกติ จะช่วยให้ขับรถโดยไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รวมถึงการขับรถไปทำงานในช่วงเวลาเช้าและเย็น หากสามารถขยับเวลาเดินทางโดยหลีกเลี่ยงช่วงเร่งด่วนได้ ก็จะช่วยลดปัญหารถติด และส่งผลให้รถกินน้ำมันน้อยลงได้นั่นเอง

     นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่ออัตราสิ้นเปลืองได้ เช่น แรงดันลมยางต่ำกว่าปกติ, บรรทุกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากโดยไม่จำเป็น, การปรับอุณหภูมิแอร์เย็นเกินไป ฯลฯ จึงควรหมั่นเช็กสภาพรถยนต์ให้เป็นปกติอยู่เสมอ จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันขึ้นได้ไม่มากก็น้อยครับ


โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 สิ่งห้ามทำเด็ดขาดเมื่อรถจอดเสียบนทางด่วน

ล้างรถเองห้ามทำ 4 สิ่งนี้เด็ดขาด จะหาว่าไม่เตือน!

ดื่มน้ำขวดในรถที่จอดทิ้งไว้กลางแดด เสี่ยงเป็นมะเร็งจริงไหม?